รูปแบบการทำลายโครงสร้างของ Dow Theory และคำแนะนำในการทำ Entry trade

 

Dow Theory เป็นกระบวนการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Charles Dow, ผู้ก่อตั้ง Dow Jones & Company, ซึ่งเป็นผู้สร้างดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA). หลักการของ Dow Theory ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทิศทางของตลาดทุกระยะเวลา โดยมีหลักสำคัญดังนี้:

1. ตลาดมีทรรศนะล่วงหน้า (Market Discounts Everything): 

ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาดถูกสะท้อนในราคา นั่นหมายความว่า ราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์มีการคำนวณทุกข้อมูลที่มีผลต่อมูลค่าของหลักทรัพย์นั้น ๆ โดยรวม.

2. ตลาดมีทรรศนะ 3 ระดับ (Three Market Trends):

   - Primary Trend (Uptrend or Downtrend):
หลักสูตรยุคยาวที่ระบุถึงทิศทางของตลาด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประการคือ Uptrend และ Downtrend.

   - Secondary Trend (Reactions or Retracements):
แนวโน้มรองที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ ระหว่างการเคลื่อนที่ของ Primary Trend.

   - Minor Trend (Short-Term Movements):
ความเคลื่อนไหวที่น้อยลงในระยะสั้น ซึ่งมักเป็นการแก้ไขที่เกิดขึ้นในระหว่าง Secondary Trend.

3. Volume Confirms Trends (Volume Should Confirm Trends):

การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายสามารถใช้เพื่อตรวจสอบว่ามีการยืนยันในทิศทางของ Trends หรือไม่ โดยทั่วไปมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณระหว่าง Primary Trend ที่มีผลเสียให้รับรองถึงความเข้มแข็งของ Trends.

4. ราคาและปริมาณต้องเข้าขั้นต่ำ (Price and Volume Confirm Each Other):

การทำลายตลาดที่สำคัญจะต้องเป็นไปพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้น.

การทำ Entry trade ตาม Dow Theory นั้นมีบางขั้นตอนที่สำคัญ:

1.การรู้จัก Primary Trend:

ต้องระบุทิศทางของ Primary Trend ว่าเป็น Uptrend หรือ Downtrend.

2. การรอ Secondary Trend:

ควรรอทิศทางของ Secondary Trend (Reactions) เพื่อทำการเข้าหรือออกจากตลาดในระยะสั้น ๆ.

3. การใช้ Volume:

ตรวจสอบว่าปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นขณะที่ Primary Trend ยังคงมีอยู่ ซึ่งจะเสริมให้มั่นใจในทิศทางของ Trends.

4. ราคาและปริมาณต้องเข้าขั้นต่ำ: 

ตรวจสอบว่าราคาและปริมาณการซื้อขายสอดคล้องกัน.

5. การใช้ Dow Theory Patterns:

 รูปแบบหรือแนวโน้มที่เป็นที่รู้จักใน Dow Theory เช่น การกลับตัว (Reversal) หรือ การพิจารณาการซื้อขายในระดับราคาที่สำคัญ.

คำแนะนำสำหรับ Entry trade ควรทำการศึกษาข้อมูลทางเทคนิคอย่างละเอียด และให้ความสำคัญกับความเข้าใจต่อทิศทางของ Primary Trend และ Secondary Trend ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ควรใช้ตัวชี้วัดอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น Moving Averages, RSI, หรือ Stochastic Oscillator เพื่อเสริม ความแม่นยำในการตัดสินใจทางการซื้อขาย.