โครงสร้างการสะสมราคาของ Wyckoff Method Logic Basic Accumulation Structure
โครงสร้างการสะสมราคของ Wyckoff Method Logic Accumulation Structure โครงสร้างการสะสมทางแนวนอนของราคาใน Wyckoff เบื้องต้นจะมีอยู่ 2 แบบ คือแบ...
https://www.tradingguideline.com/2024/09/wyckoff-method-logic-basic-accumulation.html
โครงสร้างการสะสมราคของ Wyckoff Method Logic Accumulation Structure
โครงสร้างการสะสมทางแนวนอนของราคาใน Wyckoff เบื้องต้นจะมีอยู่ 2 แบบ คือแบบที่มี spring กับแบบที่ไม่มี spring ในโพสต์นี้เราจะพามาดูตัวอย่างของการสะสมราคากันครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย
Basic Accumulation Structure No.1 (Spring)
อธิบายรูปแบบโครงสร้าง Basic Accumulation Structure No.1
Creek : คือระดับแนวต้านสำหรับการสะสมราคา Accumulation หรือ Re-Accumulation Structure. มันจะสร้างขึ้นโดย AR (Automatic Rally) โดยที่ตำแหน่งสูงสุดของ AR ใน Phase และอาจมีการพัฒนาที่เป็นจุดที่สูงกว่าที่ Phase B
CHoCH : Change of Character ส่วนนี้คือเครื่องบ่งชี้สภาพแวดล้อมในตำแหน่งที่ราคาอาจจะเดินทางไปถึง CHoCH แรกที่เราจะได้พบจะเกิดขึ้นใน Phase A ที่ราคาเคลื่อนตัวลงมาจากแนวโน้มขาลงและมีสภาพแวดล้อมเข้าไปสู่การรวมตัวของราคา และ CHoCH ที่เราจะพบครั้งที่สองจากจุดต่ำสุดของ Phase C ที่ราคาจะเคลื่อนตจัวไปที่ตำแหน่ง SOS ราคาย้ายจากสภาพแวดล้อมการบีบอัดไปสู่การเกิดเป็นแนวโน้มของราคาในฝั่งขาขึ้น
Phase A : หยุดแนวโน้ม Bearish ก่อนหน้าที่เกิดขึ้น
- PS : Preliminary Support เป็นการหยุดการเคลื่อนที่ของราคาแนวโน้มขาลงไว้เพียงชั่วคราว และจะโครงสร้างจะพังราคาจะยังลงไปต่ออีกเสมอ
- SC : Selling Climax การเกิดขึ้นของ Selling Climax นั้นจะหยุดราคาที่มาจากขาลงไว้ไม่ให้ลงไปต่อ
- AR : Automatic Rally การพุ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ ปฏิกิริยาขาขึ้นการเคลื่อนไหวของราคาขาขึ้นที่สร้างจุดสูงสุดในช่วง (Trading Range)
-ST : Secondary Test คือการทดสอบระดับของ Supply และความแข็งแรงของ Selling Climax ที่เกิดขึ้น เป็นจุดสิ้นสุดของ Phase A และเป็นจุดเริ่มต้นของ Phase B
Phase B : ช่วงระหว่างการสร้างเหตุของราคา
UA : Upthrust Action. การ Break ระดับแนวต้าน Resistance level เพียงชั่วคราวและกลับเข้าสู่ช่วงราคาของการเทรด Trading Range ที่บริเวณส่วนนี้จะเป็นการทดสอบจุดสูงสุดที่สร้างขึ้นมาโดย Automatic Rally (AR)
ST as SOW : Secondary Test as Sign Of Weakness. สัญญาน SOW ที่เกิดขึ้นใน Phase B จะเป็นการทดสอบระดับของแนวรับ Support เป็นการทดสอบเพียงชั่วคราวและราคาจะกลับเข้าสู่ Trading Range ตามเดิมส่วนนี้เป็นการทดสอบจุดต่ำสุดที่สร้างขึ้นโดย Selling Climax (SC)
Phase C : การทดสอบ
SP : Spring เป็นการ False Breakout Bearish คือหลอกว่าจะลงต่อแต่ไม่ลง นี่คือการทดสอบภายในรูปแบบที่มาจะทำ Breakout ใต้จุดต่ำของ Phase A และ B และ Spring จะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
- Spring Test การเคลื่อนที่ของราคาในขาลงมาถึงจุดต่ำสุดของ Trading Range ในคำสั่งสำหรับการตรวจสอบความมุ่งมั่นของผู้ขาย
- LPS : Last Point of Support . การสนับสนุนครั้งสุดท้ายในระดับของแนวต้าน Supply ที่ทดสอบในรูปแบบของราคาในขาลง Bearish และจะล้มเหลวเมื่อราคาไปถึงที่บริเวณจุดต่ำสุดของ Trading Range
-TSO : Terminal Shakeout or Shakeout . เป็นการ Breakout ปลอมที่เราจะสามารถสังเกตุเห็นได้ชัดเจน เป็นการเคลื่อนตัวของราคา Break จุดต่ำสุด ทะลุทะลวงดิ่งลึกผ่านระดับแนวรับ Support Level และจะกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นการสลัดรายย่อยทิ้งก่อนที่ราคาจะวิ่งกลับขึ้นไปอีกครั้ง
Phase D : การเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใน Trading Range
SOS : Sign of Strength. การเคลื่อนตัวของแนวโน้มขาขึ้นที่สร้างขึ้นหลังจากผ่าน Phase C ในการทดสอบนั้นราคาจะเคลื่อนตัวไปที่จุดสูงสุดของ Trading Range และยังเรียกว่า JAC (Jump Across The Creek) ได้อีกด้วย
LPS : Last Point of Support. ระดับแนวรับสุดท้ายของ Supply และตรงนี้จะเป็นจุดต่ำสุดที่ยกสูงขึ้น ซึ่งเราจะพบในการที่ราคาจะเคลื่อนขึ้นสู่ระดับของแนวต้าน
BU : Back UP. นี่คือปฏิกิริยาใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนที่ตลาดกระทิงจะเริ่มต้น เรียกอีกอย่างว่า BUEC (Back Up to the Edge of the Creek)
Phase E Bullish Trend ราคาจะวิ่งออกนอก Trading Range ไปตามแนวโน้มขาขึ้น เมื่อจบจากกระบวนการสะสม Accumulation จะเป็นไปตามลำดับของ SOS และ LPS ที่สร้างพลวัตของจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่เพิ่มขึ้น
Basic Accumulation Structure No.2
ตัวแปรลำดับต่อมาของวิธีในการสะสมราคา Accumulation ที่เป็นในลักษณะที่ไม่มี Spring เพราะว่า Phase C ราคาล้มเหลวในการลงไปจุดต่ำสุดของโครงสร้าง
โดยทั่วไปหากเกิดเหตุการณ์นี้เป็นเพราะว่าเงื่อนไขการสะสมในตลาด ณ ปัจจุบัน กำลังแจ้งเตือนเราว่ากำลังอยู่ภายใต้ความแข็งแรงของภาวะตลาดกระทิง
จุดมุ่งหมายของราคาคือการเข้าสู่โซนสภาพคล่อง แต่ผู้ค้ารายใหญ่จะหนุนตลาดโดยการซื้ออย่างก้าวร้าว พวกเขาไม่อนุญาตให้ราคาลดลงต่อไป เพื่อไม่ให้ใครจะสามารถซื้อในราคาที่ต่ำกว่าได้
การระบุช่วงราคาประเภทนี้ทำได้ยากกว่า เนื่องจากไม่มีเหตุการณ์การทะลุแนวรับที่เป็นสัญญานลวงที่เกิดขึ้น (False Breakout) ทำให้ยากต่อการคาดเดาสถานการณ์ขาขึ้น
โซนการซื้อขายหลักจะอยู่ตรง SPRING ที่มีศักยภาพ ด้วยเหตุนี้ เมื่อซื้อใน LPS ที่เป็นไปได้ เราจะสงสัยเสมอว่าราคาจะไปถึงโซนราคาต่ำสุดนั้นก่อนหรือไม่ และพัฒนาเป็น SPRING ที่จะเริ่มเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มมากที่สุด
ในแง่ของแนวทางการซื้อขายของคุณ ผลลัพธ์ของรูปแบบประเภทนี้โดยไม่มีการทะลุแนวรับที่ผิดพลาด (False Breakout) คือ การแสดงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นครั้งแรกที่เกิดขึ้นจากจุดต่ำสุดของ LPS ไปจนถึงการทะลุแนวรับของช่วงราคานั้นมักจะผ่านไป
ดังนั้น โอกาสในการซื้อที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวในโครงสร้างประเภทนี้จะพบได้ใน BUEC ในการทดสอบหลังจากการทะลุแนวรับ ตรงนี้เองที่เราต้องตื่นตัวเพื่อมองหาจุดเข้าซื้อ